คนวัยทองควรดูแลตัวเองอย่างดีเพื่อรักษาสุขภาพทั้งร่างกาย และจิตใจในช่วงวัยที่มีความเสี่ยงต่อโรคเพิ่มสูงขึ้น การออกกำลังกายเป็นส่วนสำคัญในการบำบัด และป้องกันโรค การบำบัดทางจิตใจ เช่น การฝึกสมอง และการรักษาความเครียด การดูแลสุขภาพทางสังคม เช่น การเพิ่มการมีสัมพันธ์ทางสังคม และการมีกิจกรรมที่น่าสนใจ, การรักษาสุขภาพทางอาหาร โดยการบริโภคอาหารที่มีโภชนาการสมดุล และการดื่มน้ำเพียงพอ และการได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อตรวจจับโรคในระยะเริ่มต้น ด้วยการดูแลทั้งร่างกาย และจิตใจ คนวัยทองสามารถเพลิดเพลินในชีวิตที่มีคุณภาพ และยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ยังคงมีความสุข สดใสได้ในวัยทอง
วัยทอง คือวัยไหน? ทำความรู้จัก

เช็กอาการของวัยทอง
อาการของวัยทองมีความหลากหลาย และมีผลต่อทั้งร่างกาย และจิตใจ ต่อไปนี้คือบางอาการที่สามารถพบเจอในบุคคลที่เข้าสู่วัยทอง โดยอาการเบื้องต้น ของคนวัยทอง มีดังนี้
ทางด้านจิตใจ และอารมณ์
- เบื่ออาหาร ไม่อยากทาน ทานได้น้อย อิ่มง่าย
- อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย โดยไร้สาเหตุ
- คิดช้า หลงลืมง่าย ความจำบกพร่อง
- ความต้องการทางเพศลดลง
- หิวจุกจิก โดยไร้สายเหตุ อ้วนง่าย
- นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึกบ่อย
ทางด้านร่างกาย
- หมดประจำเดือน
- รอยย่นและริ้วรอยบนผิวหน้าเพิ่มขึ้น
- ช่องคลอดแห้ง มีกลิ่น
- รูขุมขนกว้าง และความยืดหยุ่นของผิวลดลง
- ร่างกายลดความสามารถในการดูดซึมน้ำ
- ภาวะผิวหนังเป็นหลุม
- ฮอร์โมนเพศหญิง (estrogen) ลดลง
- ภูมิคุ้มกันตก ป่วยง่าย รู้สึกอ่อนแรงบ่อยครั้ง
- ฉี่บ่อย ฉี่ไม่สุด กลั้นปัสสาวะไม่ได้
- อาการปวดหลัง, ปวดข้อ, และปวดกล้ามเนื้อ
หากท่านอยู่ในช่วงวัยประมาณ 50 ปีขึ้นไป และมีอาการมากกว่าครึ่งหนึ่งของที่กล่าวมาข้างต้น นั่นอาจเป็นสิ่งยืนยันว่าท่านกำลังอยู่ใน วัยทอง ของชีวิตแล้ว
ต้องอายุเท่าไร? ถึงเรียกว่าวัยทอง

ทั่วไปแล้ว, การนิยาม “วัยทอง” ในทางการแพทย์ไม่ได้ถูกกำหนดโดยที่แน่นอน ไม่มีอายุที่ถูกต้องที่จะกำหนดว่าวัยทองเริ่มต้นที่อายุเท่าไหร่ เพราะคำว่า “วัยทอง” หรือ “วัยชรา” มีความหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม หรือกลุ่มคน สำหรับบางคน, วัยทองอาจจะหมายถึงช่วงเวลาหลังจากการเกษียณ หรือมีอายุ 60 ปีขึ้นไป, ในขณะที่บางคนก็อาจใช้คำนี้เพื่ออธิบายช่วงวัย 50 ปี หรือแม้กระทั่ง 40 ปี
การนิยามของ “วัยทอง” ของคนไทย นิยมใช้กับผู้หญิงในช่วงวัย ตั้งแต่ 50 ปี ขึ้นไป ซึ่งอาจเริ่มจากการนับตั้งแต่อายุที่ผู้หญิงคนนั้นได้หมดประจำเดือน

อาการวัยทอง เป็นนานแค่ไหน?
“วัยทอง” ไม่มีการกำหนดเวลาที่แน่นอน หรือมีวันสิ้นสุด แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ที่เข้าวัยทอง มักใช้เวลาประมาณ 1-5 ปี เพื่อปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และหลังจากนั้นจะเริ่มชิน และอยู่ร่วมกับอาการของวัยทองได้ดีขึ้น
ผู้ชาย เป็นวัยทองได้ไหม?

ผู้ชาย ก็เป็นวัยทองได้ เพราะคำว่า “วัยทอง” เป็นการนิยามอาการของคนที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในช่วงวัย 50 ปีขึ้นไป โดยอาการของวัยทองในผู้ชาย จะคล้ายคลึงกับผู้หญิง แต่จะรุนแรงน้อยกว่า
ในอีกนัยหนึ่งของคำว่า “วัยทองในผู้ชาย” อาจหมายถึงการเปรียบเปรยว่า “ผู้ชายคนนั้นมีนิสัยเหมือนผู้หญิงวัยทอง” ได้อีกด้วย เช่น อารมณ์แปรปรวนง่าย ขี้น้อยใจ ขี้ลืม หรืออีกนัยหนึ่ง จะหมายถึง “ผู้ชายที่ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่ดีที่สุด” คือชายวัยหลังเกษียณที่มีเวลาใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ พร้อมด้วยเงินทองที่เก็บสะสม และยังมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง ก็อาจเรียกได้ว่าเป็น ผู้ชายวัยทอง
อาการแปลก ๆ ของคนวัยทอง
อาการแปลก ๆ ของคนวัยทอง มักเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายที่ลดลง ฮอร์โมนที่ส่งผลต่อร่างกายมากที่สุดคือฮอร์โมนอารมณ์ และฮอร์โมนเพศ ที่ความคุมความรู้สึก ซึ่งอาจทำให้ประสาทสัมผัสของคนวัยทองเกิดการเปลี่ยนแปลง จนเป็นต้นเหตุของอาการแปลก ๆ ที่อาจไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน เช่น
- หูแว่ว ได้ยินเสียงแปลก ๆ อยู่บ่อยครั้ง
- ฝันร้าย หรือ ฝันดี กับเรื่องซ้ำ เดิม ๆ อยู่บ่อยครั้ง
- ได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
- รู้สึกว่ารสชาติอาหารที่คุ้นเคย เปลี่ยนไป
- รู้สึกว่าอ้วนง่าย มีปัญหาเรื่องการขับถ่าย

5 โรคร้าย ที่อาจมากับวัยทอง
ผู้หญิงที่อายุทองหลายคราวมักจะเผชิญกับความเสี่ยงต่อหลายๆ โรคที่มักเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยทอง ซึ่งบางครั้งมีลักษณะพึ่งพากับการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และฮอร์โมนของร่างกาย
- โรคหัวใจ และหลอดเลือด มักเพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่มีอายุทอง เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ, ความดันโลหิตสูง, และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งสามารถเกิดจากการสะสมพลิกเกลี่ยที่เกิดขึ้นในระบบทรวงอาหาร และการลดฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ระบบหลอดเลือดทำงานไม่ดี
- โรคกระดูก ผู้หญิงที่มีอายุทองมีความเสี่ยงสูงในการพบกับโรคกระดูก เช่น โรคกระดูกพรุน, โรคข้อเข่าเสื่อม, และโรคกระดูกบวม ซึ่งเกิดได้จากการลดฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดขึ้นในวัยทอง
- โรคมะเร็ง ความเสี่ยงที่มีการเพิ่มขึ้นสำหรับการเป็นโรคมะเร็ง, เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งรังไข่, และมะเร็งมดลูก โรคมะเร็งที่เกิดขึ้นในผู้หญิงที่มีอายุทองส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กับปัจจัยฮอร์โมน
- โรคเบาหวาน โรคเบาหวานมักเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยทอง, ซึ่งสามารถมีผลจากการลดความไว้วางใจของเนื้อเยื่อต่อปฏิกิริยาของฮอร์โมนอินซูลิน
โรคสมองเสื่อม โรคสมองเสื่อมมักเป็นปัญหาในผู้หญิงที่มีอายุทอง ซึ่งอาจมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการลดฮอร์โมนเพศหญิง

โรคเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่มีอายุทองเนื่องจากตัวประกอบทางชีวภาพ, การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน, และปัจจัยสุขภาพทั้งภายใน และภายนอกที่มีผลต่อสุขภาพ. นี่คือบางสาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงวัยทองเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้:
- การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน
ในวัยทอง, ระบบทรวงอาหาร และฮอร์โมนเพศหญิงจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง โปรเจสเตอรอน และอีสโตรเจน (ฮอร์โมนที่ผลิตโดยระดับรังสีหลังเมื่อสมองมีการลดลง) ลดลงทั้งนี้สามารถเป็นที่สามารถทำให้เกิดภาวะที่มีผลต่อสุขภาพ
- การลดการผลิตฮอร์โมนเพศหญิง
ในวัยทอง, รังสีของเม็ดไขมันในร่างกายลดลง ซึ่งทำให้การผลิตฮอร์โมนเพศหญิงลดลง การลดนี้อาจมีผลให้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ, กระดูกพรุน, และโรคอื่นๆ
- การลดฮอร์โมนอินซูลิน
ในบางกรณี, การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมนอินซูลิน (ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
การดูแลสุขภาพที่ดี การรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม การออกกำลังกาย การบริโภคอาหารที่เป็นประโยชน์ และการตรวจสุขภาพประจำปี เป็นวิธีที่สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคเหล่านี้ได้
รวม 5 เทคนิคดูแลสุขภาพดี ฉบับวัยทอง
เทคนิคที่ 1 อย่าลืมบำรุงผิวก่อนนอน และทาครีมกันแดด

การบำรุงผิวก่อนนอน เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบำรุงผิว โดยการบำรุงผิว ควรใช้ครีมบำรุงที่มี เรตินอล (Retinol) เป็นรูปแบบของวิตามิน A ที่ได้รับความนิยมในการใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า เรตินอลมีประโยชน์หลายประการต่อผิว และมีฤทธิ์ในการกระตุ้นการผลิตคอลลาเจน, ลดริ้วรอย, และปรับสภาพผิวที่เสียหาย เหมาะกับสาววัยทอง ที่การสร้างคอลลาเจนใต้ผิวเริ่มลดลง ทำให้ช่วยปรับสภาพผิว ฟื้นฟูเซลล์ผิวที่โดนทำร้ายได้ดี
การทาครีมกันแดด ควรทาทุกวัน แม้ไม่ได้ออกแดด หรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง เพราะ รังสี UV เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงใต้เซลล์ผิวที่ทำร้ายผิวเราให้แก่ การเลือกใช้ครีมกันแดด สำหรับคนวัยทองควรเลือกใช้สูตรที่มี SPF50 PA++ ขึ้นไป เพื่อครอบคลุมการป้องกันรังสี UV ในทุกช่วงคลื่น และควรทาอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง หรือหากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งนานเกินกว่า 2 ชั่วโมง ควรทาครีมกันแดดอย่างซ้ำอีกครั้ง ด้วยปริมาณอย่างน้อย 2-3 ข้อนิ้ว ทั้งใบหน้า และลำคอ
เทคนิคที่ 2 นอนก่อน 4 ทุ่ม ตื่นก่อน 7 โมง
โดยปกติแล้ว เมื่อเราเข้านอน ร่างกายจะเข้าสู่ช่วงหลับลึก หลังจากเริ่มหลับประมาณ 60-90 นาที เป็นช่วงเวลาที่เราสามารถกอบโกยโกร์ทฮอร์ทโมนได้สูงสุด ซึ่ง “โกร์ทฮอร์โมน” เป็นตัวช่วยฟื้นฟูส่วนที่สึกหรอของร่างกายที่กำลังเสื่อมสภาพไปตามวัย

การเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม เพิ่มโอกาสการหลั่งของโกร์ทฮอร์โมนได้มากกว่าการนอนหลังเที่ยงคืน เพราะ รอบการนอนของคนวัยทองจะเฉลี่ยราว 5 รอบต่อคืน หากเราสามารถเข้านอนช่วง 4 ทุ่มได้ อาจทำให้รอบการนอนสูงขึ้นถึง 6 รอบ ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถหลั่งโกร์ทฮอร์โมนได้มากขึ้นนั่นเอง จะทำให้เรารู้สึกสดชื่นเมื่อตื่นนอน และร่างกายฟื้นฟูได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ช่วงเวลา 6-7 โมงเช้า เป็นช่วงเวลาที่แดดอุ่น ๆ และมีวิตามิน D สูง ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง สำหรับสาววัยทองแล้ว แนะนำให้ออกไปเดินอาบแดดอ่อน ๆ ราว 15-20 นาที เพื่ออาบวิตามิน D จากธรรมชาติในยามเช้า เปรียบเสมือนการรับสุดยอดครีมบำรุงผิวฟรี ๆ จากพระอาทิตย์
เทคนิคที่ 3 ทำ IF ช่วยควบคุมรูปร่าง
การทำ IF หรือ “Intermittent Fasting” เป็นวิธีการบริหารจัดการเวลาการรับประทานอาหาร โดยมีระยะเวลาที่กิน และระยะเวลาที่ปล่อยให้ระบบย่อยอาหารพักผ่อน หรือที่เรียกว่า ระยะเวลาอดอาหารที่ชัดเจน
ประโยชน์ของการทำ IF คือ
- ช่วยให้ร่างกายดึงไขมันสะสมมาใช้เป็นพลังงานมากขึ้นในช่วงอดอาหาร
- ร่างกายหลั่งโกร์ทฮอร์โมนตอนอดอาหาร ดีต่อการฟื้นฟูร่างกาย
- สร้างวินัยในการกิน ด้วยการกำหนดขอบเขตเวลาการทานอย่างเคร่งครัด
- เป็นผลดีต่อการลดน้ำหนัก และคุมรูปร่างสูตรที่แนะนำสำหรับคนวัยทอง

ง่าย : 12/12 Method เหมาะสำหรับมือใหม่ ช่วงเวลา ทาน เริ่ม 08.00 น. ถึง 20.00 น.ช่วงเวลา ห้ามทาน ตั้งแต่ 20.00 ถึง 08.00 น. |
ปานกลาง : 14/10 Method เหมาะสำหรับคนต้องการคุมรูปร่างช่วงเวลา ทาน เริ่ม 08.00 น. ถึง 18.00 น.ช่วงเวลา ห้ามทาน ตั้งแต่ 18.00 ถึง 08.00 น. |
ท้าทาย : 16/8 Method เหมาะสำหรับคนต้องการต้านแก่ช่วงเวลา ทาน เริ่ม 10.00 น. ถึง 18.00 น.ช่วงเวลา ห้ามทาน ตั้งแต่ 18.00 ถึง 10.00 น. |
ยาก : 18/6 Method เหมาะสำหรับคนต้องการลดน้ำหนักช่วงเวลา ทาน เริ่ม 12.00 น. ถึง 18.00 น.ช่วงเวลา ห้ามทาน ตั้งแต่ 18.00 ถึง 12.00 น. |
กฎเหล็กของการทำ IF
- อย่าทานอาหารที่มีพลังงาน ในช่วงเวลาห้ามทาน
- อย่าทานอาหารที่มีโภชนาการต่ำ ที่ให้พลังงานสูง เช่น ของทอด ฟาสต์ฟู้ด ขนมหวาน
- อย่ากดดันตัวเอง ควรเริ่มจากสูตรที่ทำได้ง่ายก่อน และค่อย ๆ ไล่ระดับ
- อย่ากินตามใจปาก ต้องรักษาสมดุลของสารอาหารทั้ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน
- อย่านอนดึก เพราะจะทำให้การทำ IF ล้มเหลวได้ง่าย จากอาการหิวยามดึก

เทคนิคที่ 4 ลด ละ เลิก ทานน้ำตาลทราย
เมื่อน้ำตาลทรายไปถึงร่างกาย, มันสามารถเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า “glycation” หรือ “กลุ่มอัลดีไฮด์” ทำให้โมเลกุลของโปรตีน และไขมันที่อยู่ในร่างกายเชื่อมต่อกัน และสร้างสารที่เรียกว่า “Advanced Glycation End Products (AGEs)”. AGEs มีส่วนร่วมในกระบวนการทำให้ผิวหนัง และเนื้อเยื่อภายในตัวเราสูญเสียความยืดหยุ่น และเสื่อมสภาพไป นั่นทำให้คนที่กินน้ำตาล จะมีผิว และสภาพร่างกายที่เสื่อมมากกว่าคนปกติ
คนวัยทองที่มีพฤติกรรมชอบทานน้ำตาลทราย เป็นพฤติกรรมคุ้นชินที่เกินจะหลีกเลี่ยงได้ อาจต้องค่อย ๆ ปรับพฤติกรรม ด้วยการประยุกต์ให้ สารให้ความหวาน เช่น Erythritol, Scarab, Stevia, หรือ สารให้ความหวานจากธรรมชาติ อย่าง Isomaltulose ที่ให้รสหวานกลมกล่อมคล้ายน้ำตาล แต่ไม่มีผลต่อน้ำตาลในกระแสเลือด และไม่กระตุ้น AGEs ที่มีผลต่อความเสื่อมสภาพของร่างกาย จึงเป็นทางเลือกที่ดีของคนวัยทอง ที่ต้องการปรับพฤติกรรมเลิกทานน้ำตาล เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น

เทคนิคที่ 5 ลองบริหารจิตใจให้ดี ทำสมาธิ
การทำสมาธิ ช่วยลดระดับสตรีส (stress hormone) หรือความเครียด ซึ่งทำให้สมดุลทางอารมณ์ดีขึ้น ฮอร์โมนหลั่งได้ดีขึ้น ลดภาวะแปรปรวนทางอารมณ์ ลดอาการหงุดหงิดง่าย และช่วยบำรุงสมอง และความจำ เพราะทำให้ภาวะโครงข่ายของระบบประสาทการเคลื่อนไหวมากขึ้น วิธีทำสมาธิสำหรับคนวัยทอง เช่น
- ก่อนนอน 30 นาที นอนเหยียดตรง หลับตาเงียบ ๆ ด้วยทำสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก
- หลังตื่น 30 นาที นั่งขัดสมาธิ หลับตาเงียบ ๆ ด้วยทำสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ เข้า-ออก
ข้อดีของการบริหารจิตใจให้ดี ทำสมาธิ สำหรับวัยทอง
- ลดความเครียด ผิวพรรณสดใส หน้าตาไม่หม่นหมอง
- ความจำดี สมาธิดี สามารถจดจ่อกับกิจกรรมได้ดี
- อารมณ์มั่นคง เป็นที่รักของคนรอบข้าง
- ฮอร์โมนทำงานได้ดี ต้านการชราโดยธรรมชาติ
ตัวช่วยต้านวัยทอง เคล็ดลับความสาว
คนวัยทองมักมีความต้องการทางสารอาหารที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเทียบกับกลุ่มคนทั่วไป ซึ่งอาจจะต้องการอาหารที่สามารถช่วยให้รักษาสุขภาพที่ดีและลดความเสี่ยงของโรคที่พบบ่อยในวัยทอง นี่คือหลายอาหารเสริมที่คนวัยทองสามารถพิจารณาทานเพื่อสร้างสุขภาพดีที่ต้องการ

ตัวช่วยที่ 1 อาหารเสริมกลุ่มวิตามินรวม
- แคลเซียม และวิตามิน D : ช่วยส่งเสริมสุขภาพกระดูก และลดความเสี่ยงของกระดูกแตก
- วิตามิน B12 : ช่วยในการรักษาสมดุลของระบบประสาท และช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง
- วิตามิน C : เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน, ลดการอักเสบ, และเพิ่มการดูแลสุขภาพของผิว
- โอเมก้า-3 กรดไขมัน : มีความสำคัญต่อสุขภาพของสมอง, หัวใจ, และระบบประสาท
- โปรตีน : เพื่อส่งเสริมการสร้าง และการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ, ช่วยให้รักษามวลกล้ามเนื้อ
- ใยอาหาร : เพื่อส่งเสริมระบบทางเดินอาหาร และควบคุมน้ำหนัก
- เหล็ก : สำคัญสำหรับการป้องกันโรคเลือด
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): เช่นวิตามิน E, C, และซีลีเนียม, ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวาน, ภูมิคุ้มกันเสื่อม, และโรคหัวใจ
- คอนโทรลพีปไทด์ (Coenzyme Q10) : ช่วยในการป้องกันการเสื่อมของเซลล์
- โทนิคส์ (Phytonutrients) : ที่พบในผัก และผลไม้สีสัน, เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของหลายโรค
ควรระวัง และปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนที่จะทานอาหารเสริม โดยเฉพาะถ้ามีโรคประจำตัว หรือกำลังใช้ยาอื่น ๆ นอกจากนี้ การรักษาสุขภาพผ่านการรับประทานอาหารที่สมบูรณ์ และคงสภาพฟิตเนสก็มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพในวัยทอง
ตัวช่วยที่ 2 อาหารทดแทนมื้ออาหาร
อาหารทดแทนมื้ออาหาร คือทางเลือกใหม่ของการดูแลสุขภาพ สำหรับคนวัยทอง เพราะหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระบวนการชรา หรือ วัยทอง เกิดขึ้นเร็ว และรุนแรง คือ การขาดโภชนาการ

คนวัยทอง ส่วนมากมักมีปัญหาเบื่ออาหาร ทานได้น้อย ทำให้ร่างกายขาดสารอาหารจำเป็นที่นำไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ รวมถึงวิตามิน แร่ธาตุสำคัญ ที่มีส่วนช่วยรักษาสมดุลให้สุขภาพดีได้ เมื่อขาดไป จะทำให้ร่างกายเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุของอาการแปลก ๆ ในวัยทอง ที่หลายคนมองข้าม เพราะฉะนั้นจึงต้องเลือกทานอาหารให้ถูกหลักตามช่วงอายุ
อาหารทดแทนมื้ออาหาร เป็นนวัตกรรมอาหาร ที่นิยมใช้กับผู้สูงวัย รวมไปถึงผู้ป่วยระยะพักฟื้น เพราะสารอาหารในอาหารทดแทน ถูกคำนวณมาอย่างเหมาะสมแล้วว่า “เทียบเท่ากับอาหารมื้อปกติ” เสมือนว่าเราทานอาหารดี ๆ ที่มีการแบ่งสัดส่วนสารอาหาร คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน ได้อย่างลงตัว และสามารถทานง่ายสะดวก เพราะอาหารทดแทนมื้ออาหารโดยส่วนมากแล้วนิยมใช้แบบผงชงพร้อมดื่ม ที่สามารถใช้ชงกับน้ำสะอาด ก็สามารถยกดื่มได้ทันที ประหยัดเวลาในการเตรียมอาหาร ประหยัดเวลาในการทาน และยังได้โภชนาการที่ครบถ้วน เป็นพื้นฐานที่ดีของการสร้างสุขภาพที่แข็งแรง
ตัวช่วยที่ 3 พืชผักสมุนไพร
คนวัยทองมักมีปัญหาเรื่องการดูดซึมสารอาหาร การทาน “ผักที่มีใยอาหารสูง” จะช่วยให้การดูดซึมสารอาหารดีขึ้น ทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูจากการทานได้ดี และที่สำคัญยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น เป็นประโยชน์ต่อคนวัยทอง

ตัวอย่างผักที่คนวัยทองควรทาน
- ถั่วลิสง (Lentils)
- ถั่วดำ (Black beans)
- ถั่วแดง (Red kidney beans)
- แตงกวา (Cucumber)
- บรอกโคลี (Broccoli)
- คะน้า (Chinese kale)
- ผักบุ้ง (Water spinach)
- หัวหอม (Onions)
- กระเทียม (Garlic)
- ผักคะน้า (Chinese cabbage)
- ผักบุ้งจีน (Choy sum)
- ผักบุ้งไทย (Morning glory)
- ผักขึ้นฉ่าย (Cilantro)
- แครอท (Carrots)
- มันเทศ (Sweet potatoes)
- มันแป้ง (Taro)
- แอสปารากัส (Asparagus)
สมุนไพร คือพืชที่มีสรรพคุณทางยา หรือ มีคุณค่าในการรักษาอาการไม่พึงประสงค์ได้ ประเทศไทยของเราเป็นพืชที่ร้อนชื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง การทานพืชสมุนไพรเป็นประจำ จึงเป็นเรื่องดีกับคนวัยทอง เพราะหาซื้อง่าย และได้การฟื้นฟูจากสารสำคัญในสมุนไพร
ตัวอย่างสมุนไพรที่คนวัยทองควรทาน

- กระเทียม (Garlic) : ลดความดัน, ลดไขมัน, ลดปวดท้อง
- ตะไคร้ (Lemongrass) : ลดไขมัน, กระตุ้นภูมิคุ้มกัน, ลดปวดท้อง
- มะขามเปียก (Tamarind) : ลดไขมัน, กระตุ้นย่อยอาหาร, ลดท้องผูก
- ตะไคร้หอม (Galangal) : ลดปวดท้อง, กระตุ้นย่อยอาหาร, ลดท้องอืด
- ใบบัวบก (Bamboo Leaves) : ลดน้ำหนัก, ลดน้ำตาล, ลดความดัน
- ข่า (Galangal) : แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปรับสมดุล
- ผักชี (Coriander) : กระตุ้นย่อยอาหาร, ลดท้องอืด, ลดอักเสบ
- ตะไคร้น้ำตาล (Pandan) : ลดปวดท้อง, กระตุ้นย่อยอาหาร, ลดอักเสบ
- ใบมะกรูด (Kaffir Lime Leaves) : ลดปวดท้อง, กระตุ้นภูมิคุ้มกัน, ลดอักเสบ
- หอมแดง (Shallots) : ลดไขมัน, กระตุ้นย่อยอาหาร, ลดท้องอืด
- ผักชีลาว (Culantro): กระตุ้นย่อยอาหาร, ลดท้องอืด, ลดอักเสบ

สรุป
การดูแลตัวเองในวัยทองคำสำคัญเกิดจากการรักษาสุขภาพทั้งร่างกาย และจิตใจอย่างครอบคลุม ให้สามารถเดินทางผ่านช่วงวัยทองไปได้อย่างสบายใจ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้น, การดูแลตัวเองในวัยทองสำคัญอย่างมากเพื่อให้สามารถเพลิดเพลินในชีวิต และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวัยทอง