ทำความรู้จักกับโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นหนึ่งในโรคเรื้อรังที่พบบ่อยทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ป่วยทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงไปถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจ โรคไต และโรคอื่นๆ อีกมากมาย
เบาหวานคืออะไร? และส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร?
เบาหวาน คือ ภาวะที่ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ หรือร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ไม่ดี ส่งผลให้เกิดปัญหาการเผาผลาญน้ำตาลในเลือด
อาการที่พบได้บ่อยในโรคเบาหวาน
- ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมากผิดปกติ
- น้ำหนักลดโดยไม่ตั้งใจ
- อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- แผลหายช้า และติดเชื้อง่าย
- ตาพร่ามัว
เมื่อไม่ได้รับการรักษาหรือควบคุมอย่างถูกต้อง โรคเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจ ไตวาย เบาหวานขึ้นตา และโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งอาจส่งผลให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก
ทำไมการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดช่วยลดความเสี่ยงการเป็นเบาหวาน การทำให้น้ำตาลในร่างกายอยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง เช่น
- ลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
- ป้องกันโรคไตวายและการต้องฟอกไต
- ลดโอกาสเกิดแผลเบาหวานหรือแผลเรื้อรังที่หายยาก
- ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นและลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลระยะยาว

ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและโภชนาการกับโรคเบาหวาน
โภชนาการที่ดีเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการโรคเบาหวานอย่างยั่งยืน การเลือกอาหารที่เหมาะสมช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน
อาหารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน – ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ควินัว
- โปรตีนไขมันต่ำ – ปลา อกไก่ เต้าหู้
- ไขมันดี – ถั่ว อะโวคาโด น้ำมันมะกอก
- ผักใบเขียวและผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง – ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
- ดื่มน้ำเปล่า – แทนเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
เบาหวานเกิดจากอะไร? ทำความเข้าใจสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
ในบทความนี้ เราจะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับสาเหตุของเบาหวานประเภทที่ 1 และ 2 รวมถึงปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบของอาหารและน้ำตาล ที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้อย่างละเอียด
สาเหตุของเบาหวานประเภทที่ 1 และ 2
เบาหวานประเภทที่ 1
เบาหวานชนิดนี้มักเกิดขึ้นในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เกิดจากภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เพียงพอหรือหยุดผลิตอินซูลินโดยสมบูรณ์ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์เบต้าในตับอ่อนที่ทำหน้าที่สร้างอินซูลินเอง
- เบาหวานอาการ ที่พบ เช่น ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลดผิดปกติ กระหายน้ำมาก และอ่อนเพลีย
- ต้องอาศัยการฉีดอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตลอดชีวิต
เบาหวานประเภทที่ 2
เบาหวานประเภทที่ 2 เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในคนวัยทำงาน เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินหรือผลิตอินซูลินได้ไม่เพียงพอ โดยเบาหวานชนิดนี้เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมการใช้ชีวิต และ โภชนาการต่าง ๆ จากพฤติกรรมการกิน
- อาการของเบาหวานประเภทที่ 2 มักค่อย ๆ แสดงออก เช่น น้ำหนักลด เหนื่อยง่าย แผลหายช้า ตาพร่ามัว
- สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและการรับประทานอาหารที่เหมาะสม

ปัจจัยเสี่ยงของโรคเบาหวาน
แม้เบาหวานบางประเภทจะมีปัจจัยทางพันธุกรรม แต่พฤติกรรมการใช้ชีวิตและโภชนาการเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดโรค
ปัจจัยเสี่ยงหลัก
- กรรมพันธุ์ – หากมีสมาชิกในครอบครัวเป็นเบาหวาน ความเสี่ยงจะสูงขึ้น
- น้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน – ไขมันสะสมในร่างกายทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- พฤติกรรมการกินไม่สมดุล – การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงและไขมันอิ่มตัวมากเกินไป
- ขาดการออกกำลังกาย – ส่งผลให้ระบบเผาผลาญทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
- ความเครียดสะสม – มีผลต่อระดับฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
อิทธิพลของอาหารและน้ำตาลต่อการพัฒนาโรคเบาหวาน
อาหารที่มีน้ำตาลและไขมันสูง มีบทบาทสำคัญต่อการเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดและภาวะดื้อต่ออินซูลินในร่างกาย
พฤติกรรมการบริโภคที่ควรระวัง
- รับประทานเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ชานมไข่มุก
- บริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ดหรืออาหารแปรรูปที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์
- การกินขนมหวาน หรือเบเกอรี่ที่มีคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวในปริมาณมาก
อาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวาน
- คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต
- โปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อปลา อกไก่ เต้าหู้
- ไขมันดี เช่น ถั่ว อะโวคาโด น้ำมันมะกอก
- ไฟเบอร์สูง เช่น ผักใบเขียวและธัญพืชเต็มเมล็ด
เบาหวานอาการที่ควรรู้และภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้น
โรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่หลายคนอาจไม่รู้ตัวว่ากำลังเผชิญอยู่ เนื่องจากในระยะแรกมักแสดงอาการไม่ชัดเจน แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่ดูแล อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นการรู้จักเบาหวานอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้สามารถเข้ารับการรักษาได้ทันก่อนที่จะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
อาการหลักของโรคเบาหวานที่ควรสังเกต
เมื่อกล่าวถึงคำว่า **เบาหวานเกิดจากอะไร** หลายคนทราบดีว่ามักเกี่ยวข้องกับอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือด แต่สิ่งที่หลายคนไม่ทันระวังคือเบาหวานอาการที่บ่งบอกว่าร่างกายเริ่มมีปัญหาควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแล้ว
อาการเบื้องต้นของโรคเบาหวาน
- กระหายน้ำมากผิดปกติ – ร่างกายพยายามขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะ
- ปัสสาวะบ่อย – โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ – แม้รับประทานอาหารมากขึ้น
- เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย – ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- แผลหายช้า – โดยเฉพาะที่เท้าและขา
- คันตามผิวหนัง หรือ ติดเชื้อบ่อย – เช่น การติดเชื้อราหรือเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- ตาพร่ามัว – ระดับน้ำตาลในเลือดสูงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ตา
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
หากไม่ควบคุมหรือดูแลโรคเบาหวานอย่างเหมาะสม อาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาว
ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
- โรคหัวใจและหลอดเลือด – เบาหวานเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและหัวใจวาย
- ไตเสื่อม (Diabetic Nephropathy) – น้ำตาลในเลือดสูงทำให้ไตทำงานหนักและเสื่อมลงจนถึงขั้นไตวาย
- ปัญหาด้านสายตา – เช่น เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy) ที่อาจรุนแรงถึงขั้นตาบอด
- เส้นประสาทเสื่อม (Neuropathy) – ชาปลายมือปลายเท้า รู้สึกปวดแสบปวดร้อนหรือไม่รู้สึก
- แผลเรื้อรังที่เท้า – หากไม่รักษาอาจต้องตัดขาในกรณีรุนแรง
วิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและการเฝ้าระวังสุขภาพ
การเฝ้าระวังและตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมและป้องกันโรคเบาหวาน รวมถึงภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
วิธีตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (FBS) – ค่าปกติควรต่ำกว่า 100 mg/dL
- ตรวจน้ำตาลหลังรับประทานอาหาร 2 ชั่วโมง (Postprandial) – ควรต่ำกว่า 140 mg/dL
- การตรวจค่า HbA1c – แสดงระดับน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 3 เดือน ควรไม่เกิน 6.5%-7% สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
การเฝ้าระวังสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
- ปรับพฤติกรรมการกิน ลดน้ำตาลและไขมัน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์
- พบแพทย์เพื่อตรวจติดตามระดับน้ำตาลและการทำงานของอวัยวะต่างๆ เป็นประจำ
- บริโภคอาหารที่มีโภชนาการสมดุล

โภชนาการที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
การจัดการเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่อาศัยยาและการออกกำลังกายเท่านั้น แต่ยังต้องใส่ใจในเรื่องของโภชนาการซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ลดความเสี่ยงของเบาหวานอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
ในบทความนี้เราจะมาแนะนำอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน พร้อมทั้งอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อสุขภาพที่ดีและการควบคุมระดับน้ำตาลที่มีประสิทธิภาพ
อาหารที่ควรรับประทาน
สำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานการเลือกอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำและมีสารอาหารครบถ้วนจะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยได้ง่ายขึ้น
1. คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
- ข้าวกล้อง – อุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล
- ควินัว – เป็นธัญพืชที่มีโปรตีนสูงและค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่พุ่งสูงรวดเร็วหลังรับประทานอาหาร และให้พลังงานที่ยาวนานกว่าแป้งขัดสี
2. โปรตีนคุณภาพดี
- เนื้อปลา – โดยเฉพาะปลาที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาแซลมอน
- ไข่ขาว – โปรตีนไขมันต่ำที่ดีต่อสุขภาพ
- เต้าหู้ – โปรตีนจากพืชที่เหมาะกับการควบคุมน้ำตาลในเลือด
โปรตีนช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ อีกทั้งยังทำให้รู้สึกอิ่มนาน
3. ไขมันดี
- น้ำมันมะกอก – ช่วยลดคอเลสเตอรอลและดีต่อระบบหัวใจ
- อะโวคาโด – อุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวที่ช่วยลดไขมันเลว (LDL)
- ถั่วและเมล็ดพืช – เช่น อัลมอนด์ วอลนัท และเมล็ดแฟลกซ์
ไขมันดีมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เบาหวานอาการแย่ลงและควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพ
1. น้ำตาลและแป้งขัดสี
- ขนมปังขาว
- ข้าวขัดสี
- เบเกอรี่ ขนมหวาน
แป้งขัดสีและน้ำตาลสูงจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว ส่งผลเสียต่อการควบคุมเบาหวานในระยะยาว
2. เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง
- น้ำอัดลม
- น้ำหวาน
- ชานมไข่มุก
เครื่องดื่มเหล่านี้มีน้ำตาลสูงมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินเกณฑ์ในทันทีหลังดื่ม
3. อาหารทอดและไขมันทรานส์
- อาหารฟาสต์ฟู้ด
- ขนมขบเคี้ยวทอดกรอบ
- โดนัทหรือเบเกอรี่ที่ใช้เนยเทียม
ไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูงทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของเบาหวาน

นิวทริโฟล (Nutriflow®) อาหารทดแทนมื้ออาหารที่คุณไว้ใจได้
การดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่มีภาวะเบาหวานจำเป็นต้องใส่ใจเรื่องสารอาหารอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย พร้อมลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจ ไตเสื่อม และโรคหลอดเลือดสมอง
นิวทริโฟล (Nutriflow®) ให้สารอาหารที่จำเป็นทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ไขมันดี วิตามิน และแร่ธาตุครบถ้วน ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้พุ่งสูงเร็วเกินไป พร้อมเสริมใยอาหารที่ช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการดูแลสมดุลทางโภชนาการ
หนึ่งในทางเลือกที่ช่วยให้การดูแลสุขภาพของผู้ป่วยเบาหวานที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการครบถ้วนและเหมาะสมกับภาวะของผู้ป่วย นิวทริโฟล (Nutriflow®) สามารถตอบโจทย์บริโภคให้สามารถจัดการกับสารอาหารที่ต้องการได้ง่ายขึ้น เพราะมีน้ำตาล 0% และสารอาหารที่เหมาะสมสำหรับหนึ่งมื้อ
นิวทริโฟล (Nutriflow®) มีไอโซมอลต์ทูโรส (Isomaltulose) น้ำตาลทางเลือกที่เป็นมิตรต่อระดับน้ำตาลในเลือด
หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของ นิวทริโฟล (Nutriflow®)คือการเลือกใช้ ไอโซมอลต์ทูโรส (Isomaltulose) ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดพิเศษที่ให้พลังงานช้าและคงที่ ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว
- ไอโซมอลต์ทูโรส (Isomaltulose) เป็นน้ำตาลที่มีดัชนีน้ำตาล (GI) ต่ำ
- ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ให้พลังงานอย่างสม่ำเสมอ ลดอาการหิวหรือความอยากอาหารระหว่างวัน
- เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาลอย่างแม่นยำ
การที่นิวทริโฟล มีน้ำตาล 0% เพราะ (Nutriflow®) เลือกใช้ไอโซมอลต์ทูโรส (Isomaltulose) แทนน้ำตาลทั่วไปทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นอาหารทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือด และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลไม่คงที่ในระหว่างวัน
“ดื่มง่าย ได้ครบ” – อาหารทดแทนมื้ออาหารที่สะดวกและมีสารอาหารเหมาะสมสำหรับหนึ่งมื้อ
นิวทริโฟล (Nutriflow®) คือผลิตภัณฑ์ทดแทนมื้ออาหารที่ออกแบบให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการโภชนาการครบถ้วนในรูปแบบที่สะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการบริโภค โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีเบาหวานอาการหรือต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอย่างเข้มงวด
จุดเด่นสำคัญคือ
- “ดื่มง่าย” – ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมอาหาร เหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ
- “ได้ครบ” – ให้สารอาหารครบ 5 หมู่ ช่วยควบคุมพลังงานและลดความเสี่ยงของน้ำตาลสูง

ความน่าเชื่อถือจากสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล
นิวทริโฟล (Nutriflow®) ได้รับการพัฒนาและรับรองคุณภาพจากสถาบันโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดลโดยผ่านการวิจัยและทดสอบทางคลินิก เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์มีมาตรฐานและปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
รสชาติอร่อย ที่คุณดื่มได้ทุกวัน
สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องรสชาติ นิวทริโฟล (Nutriflow®) ได้ออกแบบให้มีรสชาติกลมกล่อมและอร่อย สามารถดื่มได้ทุกวันโดยไม่รู้สึกเบื่อ ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่ายและน่ารื่นรมย์ ทั้ง 3 รสชาติ ได้แก่
- รสวานิลลา หอม อบอุ่น ละมุนละไม
- รสช็อกโกแลต อร่อย เข้มข้น
- รสธัญพืช หอมกลมกล่อมแบบธรรมชาติ
นิวทริโฟล (Nutriflow®) เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีเบาหวานและต้องการอาหารเสริมที่มีโภชนาการครบถ้วน
- ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงต่อเบาหวานและต้องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
- ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีเบาหวานอาการแทรกซ้อน เช่น อ่อนเพลีย แผลหายช้า หรือน้ำหนักลด
เคล็ดลับการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
- วางแผนมื้ออาหารให้สมดุล ควบคุมปริมาณน้ำตาลที่บริโภค
- ออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น เดินเร็ว โยคะ เวทเทรนนิ่ง
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ใช้นิวทริโฟล (Nutriflow®) ในมื้ออาหารเพื่อโภชนาการที่สมดุลและสะดวกต่อการควบคุมระดับน้ำตาล เพราะมีน้ำตาล 0%
บทสรุป – ดูแลเบาหวานอย่างถูกวิธีเพื่อสุขภาพดีระยะยาว
เบาหวานเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของอินซูลินและระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ น้ำหนักเกิน หรือพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้าใจว่าเบาหวานเกิดจากอะไร และให้ความสำคัญกับการควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอ
การเลือกโภชนาการที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงของเบาหวานอาการที่รุนแรง เช่น น้ำตาลสูง เหนื่อยง่าย แผลหายช้า และภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตควบคู่กับการเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการจึงเป็นกุญแจสำคัญ
นิวทริโฟล (Nutriflow®)คืออีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ด้วยสารอาหารเหมาะสมสำหรับ 1 มื้อ ดื่มง่าย สะดวก และปลอดภัย ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและดูแลสุขภาพในทุกวัน